วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ได้แชมป์จนได้

เหอะๆวันนี้ไปแข่งกีฬาคณะมาครับ ผมเล่นซอฟต์บอลง่า

เป็นกีฬาที่ผมชอบมากเลยนะ(ยูโดด้วย)

วันนี้เป็นนัดชิง แข่งกับคณะวิดยา เค้าก็เก่งนะ

สามารถพิชให้ผมตีโฮมรันได้ อิอิ

วันนี้ได้ไปประมาณ 2 run (homerunอ่ะนะ)

อีกrun เค้า error เอง ก็เลยวิ่งเข้าhome ซะ

และแล้วฝนก็ตกลงมาอย่างหนักหลังจากผมตีเสร็จ

ในinningที่ 4 (และเข้าhomeแล้ว) เค้าเลยยุติการแข่ง

ทีมคณะเกษตรของผมก็เลยชนะไปโดยปริยาย อิอิ

คะแนนประมาณ 6 - 1 มั้งไม่รู้สิ ตีอย่างเดียว

กีฬาเมเจอร์

ก็ไม่มีอะไรหรอกฮะ แค่วันนี้ที่คณะจัดงานกีฬาฮาเฮ "สาขาสัมพันธ์"ขึ้นมา

คนมาเยอะอยู่นะแต่เมเจอร์ผมมาน้อยง่า *_*

คนก็มีเยอะกว่าคนอื่นเค้าน้า ทำไมไม่ค่อยให้ความร่วมมือกันเลย

เอาเหอะอย่างน้อยวันนี้ก็สนุกนะ

กินเหล้าทั้งวัน.......กินเหล้า!

กีฬาก็แข่งพวกกีฬาพื้นบ้านฮาๆอ่ะ เน้นอันที่ต้องใช้คนเยอะๆ

ผมไปแข่งลูกโป่งน้ำมา เฮอะๆๆๆ เปียกดิคร้าบพี่น้อง

แต่ก็เสมอนะ(รอบชิง) พวกรุ่นพี่เค้าเลยให้แชมป์คูุ่

ที่ให้แชมป์คู่ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เพราะลูกโป่งมันหมดแล้ว!

จากนั้นก็ไปแข่งอันที่นอนต่อกันให้ยาวๆอ่ะ...

ก็คนมาน้อยอ่ะนะ ตัวเลือกมีไม่มาก(แต่ส่วนมากก็เตี้ยๆกันทั้งนั้น)

ก็เลยได้แค่นั้น แง่ว - - ''

มีแข่งกินวิบากอีก อันนี้ผมก็ลงนะ กล้วยเกือบติดคอตาย

ก็มันกลืนไม่ทันนี่ กะเคี้ยวข้างละครึ่งลูก (555 สม?)

มีแชร์บอลตอนเย็น แข่งเฉพาะผู้หญิง(รวมผู้หญิงทางเลือกและผู้หญิงครึ่งนึงไว้ด้วย)

ก็ได้ที่ 2 มาอ่ะ ช่วยมะได้ ตั้งวงกินเหล้าไปตั้งเยอะ ตาลายหมดหมู่

เหอๆๆ เอาเป็นว่าก็ดีนะที่มีกิจกรรมนี้ เพราะตั้งแต่เข้าเมเจอร์เพื่อนก็แยกๆกันไปหมด

บางคนไม่ได้เจอหน้ากันเลย ทั้งๆที่แต่ก่อนก็เรียนห้องเดียวกัน

ถือว่าเป็นกิจกรรมพบปะเพื่อน+พี่ๆละกัน

รวมถึงเทศกาลกินเหล้าเข้าพรรษา+โคโยตี้พี่ปี4และคนเมารุงรังด้วย

555 อารมณ์ดีขึ้น ไว้ว่างๆเอารูปมาแปะเล่นดีกว่า

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

ถึงคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ผู้ใหญ่” ทุกคน


พวกเราคือลูกหลานของคุณเองแหละคับ พวกเราออกไปจากบ้านไม่ได้ จึงได้แต่พูดความรู้สึกของเราใส่ลงในคอมพิวเตอร์ ส่งผ่านไปทางอินเตอร์เน็ต ที่เดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ออกไปข้างนอก ได้คุยกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นเราคงได้แต่นั่งดูทีวีที่มีแต่ข่าวของพวกผู้ใหญ่ในทุกช่อง ทุกเวลา จนพาลสงสัยว่าพวกคุณทะเลาะกันเรื่องอะไรอยู่? อย่าคิดว่าเราดูแต่การ์ตูน ช่องรายการเพลง หรือรายการไร้สาระนะคับ ข่าวเราก็เคยดู เคยติดตาม เราจำได้ว่าเคยเข้าใจอยู่พักนึง ว่าผู้ใหญ่กำลังทะเลาะกันเพื่ออุดมการณ์อะไรบางอย่างอยู่ คุณบอกว่าสู้เพื่อปกป้องลูกหลานอย่างพวกเรา เราเคยเข้าใจเจตนาที่จะพลิกฟื้นประเทศของพวกคุณนะคับ 


จวบจนทุกวัน นี้ เรามานั่งดูข่าวอีกที แล้วก็นั่งถามกับเพื่อนในเอ็มเอสเอ็นว่า พวกผู้ใหญ่เค้าตีกันเพื่อจะเอาอะไรกันแน่นะ? ทำไมมันดูไร้สาระจังที่เขาด่ากันไปด่ากันมา? คนเสื้อเหลืองด่าคนเสื้อแดงว่าเ_ย ว่าถ่อย อาชญากร (เราไม่อยากใช้คำหยาบเลย แต่พวกคุณก็พูดกันจนเราติดหูไปแล้วอ่ะ) พ่อเราซึ่งไม่เห็นจะเคยท้าตีท้าต่อยใคร เดินผ่านคนเสื้อแดงเมื่อวาน แล้วบอกออกมาว่า อยากจะเข้าไปต่อย:-)สักที แล้วถามว่าพวกมึ_มีความสุขมากใช่มั้ย? ใครๆ ก็ดูรุนแรงกันไปหมด แล้วเราก็มาย้อนคิดว่านี่เขาก็ทำเหมือนกับตอนที่พวกเสื้อเหลืองเขายึดสนาม บินนี่นา ทำไมมันไม่เหมือนกันล่ะ? เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่แต่ละฝ่ายทำ อันไหนมันมากกว่า มันรุนแรงกว่ายังไง เพราะปิดสนามบินก็ทำเอาคนต่างชาติไม่กล้าเข้าประเทศเราอีก ตอนนี้ปิดถนนหลายสาย ต่างชาติก็พากันเตือนว่าอย่าเข้าประเทศไทยนะ ก็เหมือนกันนี่นา ไม่ว่าจะสิ่งที่ใครทำ ก็ทำให้ประเทศเราพ่ายแพ้นี่นา

เรายังเรียนไม่สูงพอจะอธิบายหลักการทางเศรษฐกิจสังคม วิธีแก้ปัญหาตามหลักรัฐศาสตร์ หรืออะไรได้หรอกนะคับ แต่อย่างน้อยเราก็คิดได้ว่าตอนนี้ประเทศเราแพ้ไปแล้ว เราแพ้ไปตั้งนานแล้วด้วยแหละ ทำไมผู้ใหญ่ถึงยังคิดกันอยู่ได้นะว่า เฮ เสื้อเหลืองชนะโว้ย เฮ้ เสื้อแดงต้องเอาคืน ต้องชนะให้ได้ มันกลายเป็นเรื่องแพ้ชนะไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วใครแพ้ใครชนะเหรอคับ? ทำไมผู้ใหญ่ไม่ยอมรับสักทีนะว่าพวกคุณแพ้แล้ว ประเทศไทยแพ้แล้ว จะได้ตั้งต้นใหม่ แล้วชกนัดล้างตาสักที ทำไมถึงยังทู่ซี้แกว่งหมัดมั่วซั่วทั้งที่มันจบยกไปตั้งนาน คนดูกลับบ้านไปหมดแล้ว? น่วมแล้วนะคับ ประเทศไทย

ผมว่าน้าๆ เสื้อแดงก็ทำเกินไปจิงๆ นะ ปิดถนนทำไมเยอะแยะเหรอคับ ถ้าอยากให้คนเห็นด้วยแล้วไปทำให้เค้าโกรธทำไมเหรอคับ? งงจิงๆ สงกรานต์คนเขาจะขึ้นรถไฟกลับบ้านไปกราบเท้ารดน้ำดำหัวพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ ก็ไปป่วนหัวลำโพงขวางทางเขาอีก วัฒนธรรมไทยดีๆ ที่คุณบอกให้พวกผมรักษา ตกลงว่าไม่ควรทำใช่มั้ยคับ ต้องให้ผมไปร่วมขบวนกับคุณเหรอคับ เพื่อนผมบางคนติดอยู่ในแฟลต ใกล้ๆ ตรงที่คุณเอารถเมล์แก๊ส NGV ไปขวางถนนจุดไฟให้ควันโขมง ถ้าระเบิดจิงเพื่อนผมก็ตายสิคับ ก็เข้าใจนะคับว่าจะขู่รัฐบาล บีบคั้นเขา แล้วเอาเพื่อนผม เอาลูกหลานตัวเองมาเป็นตัวประกันทำไมเหรอคับ? ผมก็ไม่รู้นะที่เขาลือกันว่ามีคนหยิบยื่นเงินให้พวกคุณ คุณจึงทำแบบนี้ มันเป็นเรื่องจิงแค่ไหน? แต่ถ้ามันจิงนี่ก็น่าสงสารลูกหลานคุณนะคับ ที่เขาต้องมาแบกรับภาระประเทศที่ล่มสลายลงไปเรื่อยๆ เพียงเพราะคุณกำลังทำเพื่อเงินไม่กี่เม็ดบาทที่เขาหยิบยื่นมาให้เพื่อ ประโยชน์ของเขาด้วย 

น้าๆ เสื้อเหลืองก็อย่าเพิ่งรีบพยักหน้าเออออเห็นด้วยนะคับ พวกคุณก็ใจร้ายนะ ผมเคยได้ยินคุณด่าคนเสื้อแดงเขาว่าโง่ พวกรากหญ้า ไม่มีการศึกษา ทักษิณเป็นพ่อมึ_เหรอ (ผมได้ยินมาอย่างนี้จิงๆ นะคับ) ใจร้ายมากเลย คนมีการศึกษาไม่น่าจะเป็นคนที่ดูถูกและเหยียดความคิดคนได้อย่างนี้เลยนะคับ ฟังแล้วรู้สึกเศร้าอะ ว่าทำไมคนเราถึงด่าคนที่คิดไม่เหมือนตัวเองได้ขนาดนี้ เค้ารู้ไม่เท่าพวกคุณ แล้วเค้าผิดเหรอคับ ถามหน่อยว่าคนจนๆ ที่บ้านไม่มีอินเตอร์เน็ตให้เสิร์ชหาความรู้ อ่านบทความแฉทักษิณต่างๆ นานา ไม่มีปัญญาหาซื้อหนังสือที่จะให้ความรู้เขาอ่าน ก็เขากินข้าวกับน้ำปลา แต่คุณเดินชอปปิ้งอยู่พารากอน ก่อนเกิดเรื่องคุณเคยคิดจะช่วยเหลือคนเหล่านั้นมั้ยก็ไม่เคย คุณไม่หยิบยื่นอะไรให้เขาเลย แล้วยังเอาแต่ชี้หน้าด่าเขาว่าโง่ ทำไมคุณถึงเป็นคนฉลาดที่ใจร้ายได้ขนาดนี้นะ พอคิดแล้วพวกเราก็ไม่อยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดเอาซะเลยนะคับ

พวกคุณสอนเราว่าอย่าใช้กำลังตัดสินปัญหา อย่าดูถูกเหยียดหยามคนอื่น แล้วพวกคุณก็ทำเองหมดเลยอ่ะ แล้วจะให้เราไม่ทำตามเหรอ ถ้าพรุ่งนี้ผมมีเรื่องกับเพื่อน เพื่อนผมคิดไม่เหมือนผม แล้วผมต่อยเขา พ่อจะด่าผมมั้ย แม่จะตีผมรึเปล่า ถ้าคำตอบคือเราต้องสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง แล้วสรุปว่าสันติมันมีจิงมั้ยคับ?

ตอนนี้มันเหมือนการสู้กันของคนที่หลังชนฝาอะคับ ไม่รู้ผมคิดไปเองรึป่าวนะ แต่พวกคุณอาจจะคิดว่าหันหลังกลับไม่ได้แล้วใช่มั้ยคับ ถ้าถอยเมื่อไหร่คุณจะแพ้ใช่มั้ยคับ? แล้วพอใครแพ้ คนชนะก็จะเหยียบคุณให้จมดินใช่มั้ยคับ? คนชนะคิดอย่างงี้รึป่าวคับ? ต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก อย่าให้มันลอยนวล อย่างงั้นใช่มั้ยคับ? แล้วใครที่ไหนจะกล้ายอมแพ้ล่ะคับ? ผมว่าน้าเสื้อแดงเขาก็คงกลัว ว่าถ้าเขาถอยตอนนี้ เขาก็คงโดนเต็มๆ ใครมีผู้มีอิทธิพลช่วยได้ก็รอดตัวไป น้าเสื้อเหลืองก็คงเชื่อว่าตัวเองถูกแล้ว อย่าไปยอม ตอนนี้คงไม่มีตรงกลางแล้วจิงๆ ล่ะมั้งคับ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเสนอความเห็นอะไรได้อีก


แต่อยากจะบอกน้าๆ ผู้ใหญ่ทุกคนหน่อยนะคับว่า กลับบ้านเถอะคับ ลูกหลานคุณอยู่บ้านไม่มีความสุขเลยนะคับ มันมองไม่เห็นตอนจบแล้วอะคับตอนนี้ แต่พวกเราไม่อยากรู้แล้วว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ เราแค่อยากให้มันเหมือนเดิม อยากออกไปกินข้าวนอกบ้านกับพ่อกับแม่ได้เหมือนที่เราเคยออกไปกิน อยากไปดูหนังกับเพื่อนแบบไม่ต้องกลัวรถถัง อยากนั่งดูทีวีแล้วเจอข่าวเกษตรกรรมกับข่าวการศึกษาเป็นปกติเหมือนสมัยก่อน อยากใช้ชีวิตปกติมากเลยคับ ขอร้องเถอะคับ ไม่ต้องมองการณ์ไกลแล้วคับ ไม่ต้องทำเพื่อลูกหลานแล้วคับ กลับมาดูแลพวกเราตอนนี้เถอะ คุณไม่เห็นจะทำเพื่อพวกเราเลย ไม่ต้องอ้างแล้วคับว่าทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อลูกหลาน มันเลยจุดนั้นมานานแล้วคับ อีก 20-30 ปี พวกคุณก็ไม่ได้อยู่ในประเทศนี้แล้ว แต่พวกเราต้องอยู่มากกว่าคุณอีก 30-40 ปีเลยนะคับ เรายังไม่รู้เลยว่า 20-30 ปีที่จะถึงนี้ ประเทศไทยเราจะกลับมาดีเหมือนเดิมได้รึเปล่า เราเสียความเชื่อมั่นจากคนต่างชาติเขาไปเยอะแล้วนะคับ อย่าให้มันแย่ถึงขนาดที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่มีใครคบเลยคับ แล้วอย่างนี้ในอนาคตมันจะดีสำหรับผมได้ยังไง ถ้าผมต้องเป็นคนที่โตมากับการตามล้างตามเช็ดขี้ที่พวกท่านถ่ายเรี่ยราดเอา ไว้ ผมยังมองไม่เห็นเลยคับว่าอนาคตผมจะมีความสุขได้ยังไง

เพื่อนผมเป็นนักเรียนฟิสิกส์โอลิมปิกเหรียญทอง โตขึ้นมาเขาต้องลำบากกับพิษเศรษฐกิจเหรอฮะ ควรแล้วเหรอ เพื่อนผมอีกคนที่เป็นนักกีฬากอล์ฟเยาวชนระดับโลก เขาจะยังมีเป็นผู้ใหญ่ที่มีประโยชน์มั้ยฮะ ในประเทศที่ทุกคนมีแต่ความหวาดกลัว ว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นเมื่อไหร่ พวกคุณกำลังทำให้อนาคตมืดลงนะคับ ทุกคนจะตกอยู่ในความหวาดกลัว กลัวว่าจะไม่เจริญ กลัวว่าจะขายของไม่ได้ กลัวว่าจะไม่มีใครมาเที่ยวร้านของตัวเอง กลัวไปต่างๆ นานา แล้วถ้าผู้ใหญ่ยังกลัว ใครจะปกป้องพวกเราคับ หรือต้องให้เราปกป้องคุณ เราจะทำได้เหรอคับ เราจะปกป้องคนที่ไม่ยอมรับความคิดของเด็กอย่างพวกคุณได้เหรอคับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกคุณจะฟังเราแค่ไหน พวกเราคิดไม่เก่งนะคับ ยังรู้ไม่เท่าพวกคุณ คุณชอบเห็นเราเป็นเด็ก แต่เราก็รู้ตัวนะคับ ว่าเราต้องการอะไร เราต้องการความสงบคับ เราอยากให้พ่อแม่เราเลิกเครียดสักที อยากให้คุยกับเราเรื่องอื่นบ้างที่ไม่ใช่การเมือง อยากให้เลิกสบถรุนแรงสักที พ่อกำลังปลูกฝังให้ผมใช้กำลังนะคับ เวลาพ่อพูดว่าจะเอาไม้ไปตีหัวเสื้อแดง หรือเวลาแม่บอกว่าไอ้พวกเสื้อเหลืองมันเ_ย มันมีคนใหญ่คนโตคอยหนุน 

ถึงพ่อแม่เสื้อเหลืองคับ

พ่อคับ แม่คับ เลิกหวังว่าจะทำลายคนเสื้อแดงให้สิ้นซากเถอะคับ สงสารเค้าเถอะ พูดกับเค้าดีๆ เถอะคับว่า ขอร้อง ปล่อยประเทศไทยเป็นอิสระสักที พ่อแม่มัวแต่ขู่เค้า ด่าเค้า เค้าก็ได้แต่มองว่าพ่อแม่ก็ไม่ต่างจากพวกเค้า เค้าก็ไม่รู้ตัวหรอกคับ ว่าสิ่งที่เค้าทำอยู่มันผิดรึถูก เหมือนเวลาพ่อบอกว่าถ้าได้เกรดศูนย์พ่อจะตีซ้ำ ผมก็กลัวนะคับ ผมก็จะเอาสมุดพกไปซ่อน แล้วความผิดผมก็จะใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ อีก บอกผมดีๆ ก็ได้คับ ว่าให้เริ่มต้นใหม่ สอนผมดีๆ สิคับ ว่าผมต้องเรียนยังไง อยู่กับผม สอนการบ้านให้ผม สอนวิธีคิดให้ผม ไม่ใช่รอดูผลในสมุดพกอย่างเดียว ไม่แฟร์เลยนะคับพ่อแม่

ถึงพ่อแม่เสื้อแดงคับ

พ่อคับ แม่คับ กลับบ้านเถอะ ถ้าพ่อแม่สู้เพื่อคนคนหนึ่งอยู่ ผมว่ามันแหม่งๆ แล้วนะฮะ หรือถ้าพ่อแม่คิดว่ากำลังสู้เพื่อประเทศชาติอยู่ พ่อแม่พอเถอะคับ กลับมาเป็นคนตัวเล็กๆ ที่ทำความดี ช่วยเหลือสังคม เท่าที่ทำได้เหมือนเดิมดีกว่าคับ สถานการณ์อย่างนี้ไม่มีฮีโร่แล้วนะคับ มีแต่คนแพ้ที่ยอมรับความจิง กับไม่ยอมรับเท่าน้นเอง พ่อแม่ลองอดทนดูมั้ยคับ ปล่อยให้รัฐบาลเค้าแก้ปัญหาเท่าที่ทำได้เถอะ ใจเย็นๆ นะคับ ผมก็เชื่อว่ายังมีผู้ใหญ่ฉลาดๆ อยู่ ที่น่าจะพอช่วยประเทศเราได้บ้าง พ่อแม่ไม่ต้องออกไปสู้แล้วนะ พ่อแม่กลับมาอยู่กับผมดีกว่า อยู่คอยบอกผมว่าอะไรดีไม่ดีไงคับ อย่าให้ผมต้องโตไปกับการรับรู้อะไรจากทีวีเลยฮะ ผมไม่ชอบเลย นะๆๆๆ

พ่อคับ แม่คับ…

ถามตัวเองอีกทีเถอะคับ ว่าทะเลาะกันเพื่ออะไรอยู่? ถ้าเราร้อน ... ก็ทำให้ใครเย็นไม่ได้หรอกครับ

จาก “ลูกหลาน” ที่จะอยู่ในประเทศไทยต่อจากคุณทุกคน 


credit : http://talk.mthai.com/topic/55732

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ประตูสองบาน

ประตูสองบาน...ของประภัสสร เสวิกุล และ ท่าน ว.วชิรเมธี 

          ประตูมีหลายแบบ ความทุกข์และปัญหาก็มีหลายแบบเช่นกัน บางครั้งเราใช้ชีวิตแบบดึง ทั้งที่ประตูบอกว่าผลัก และใช้ชีวิตแบบผลัก ทั้งที่ประตูบอกให้เลื่อน ประตูเปิดไม่ออก ปัญหาผลักไม่ออก ไม่ใช่เป็นเพราะปัญหาแก้ไม่ได้ หรือประตูเปิดไม่ได้ หากแต่เป็นที่ตัวเราไม่เคยใช้ "ความคิด"










ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

ธรรมะไทย


ประโยชน์จากวิตามินC

เมื่อพูดถึงวิตามินซี หลายคนคงนึกถึงผลไม้รสเปรี้ยว อย่างเช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขามหวาน มะขามป้อมและอีกมากมาย ขอเพียงแต่เป็นผักผลไม้สดๆ เป็นใช้ได้ หรือบางคนอาจนึกถึงยาเม็ดสีส้ม สีเหลือง ที่มีรสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ไว้กินเวลามีเลือดออกตามไรฟัน ในความเป็นจริงแล้ววิตามินซีมีประโยชน์มากมายกว่านั้น

          วิตามินซี มีประวัติการค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่า ทหารเรือออกเดินเรือเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ได้รับประทานผักและผลไม้สด จึงมักป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็นประจำ ต่อมาจึงได้หาสารอาหารที่เป็นต้นเหตุได้ คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbicacid) หรือวิตามินซีนั่นเอง

          ประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย นอกเหนือจากที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดทำให้หายเร็วขึ้นถึง 21% คือ

            วิตามินซีช่วยปกป้องเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกันสุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็นและคอลลาเจน

            วิตามินซีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบ จึงทำให้แผลหายเร็ว

            วิตามินซีช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดยจะไปช่วยรักษาเซลล์ที่ถูกทำลาย และช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว

            วิตามินซีช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยจะไปลดการเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

            วิตามินซีช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ  เช่น  ควันบุหรี่ แสงอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก

            วิตามินซีช่วยป้องกันไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ Pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น

            วิตามินซีช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารในสมอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาทด้วย

            วิตามินซีช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว

          การรับประทานวิตามินซี ภาวะปรกติปริมาณที่แนะนำให้ทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อสุขภาพที่ดีจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่นิยมรับประทานวิตามินซีไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะสามารถละลายในน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซี แม้รับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000-18,000 มิลลิกรัม

          แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อพึงระวังในการรับประทานวิตามินซี การรับประทานในปริมาณสูงๆ  อาจจะมีผลต่อการดูดซับแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium อาจมีผลต่อความผิดพลาดของผลการตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้ วิตามินซีทำให้การดูดซึมแร่ธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับแร่ธาตุเหล็กเกิน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

อาหาร 10 อย่างที่ควรมีไว้ในตู้เย็น


อาหาร 10 อย่างที่ควรมีไว้ในตู้เย็น

- น้ำเปล่า
"น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ

- ผัก
"ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

- ไข่ไก่
"ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

- นม
"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง

- เนื้อปลา
"เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

- ผลไม้รสเปรี้ยว
ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

- โยเกิร์ต
"โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้น ๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด

- แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม

- ถั่ว
“ถั่ว” ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล

- ธัญพืช
"ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาอาหารแต่ละชนิดมาติดไว้ในตู้เย็น เพื่อสุขภาพที่ดี.

ข้อมูลจาก 

อ่านแล้วรู้สึกดีเหมือนกันนะ

เรื่องนี้ผมได้มาจากforward mailครับ เห็นว่าน่าสนใจเลยนำมาเผยแพร่ต่อ

ลองอ่านดูกันนะครับ

--------------------------------------------------------------------------------

'อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย'


      เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่าน
ฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น
แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า 

    'อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ' 

    'ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ' 
  
ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำ
สารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะ
จัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
และเป็นที่รู้จักกันว่า! แกเป็นคน ที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของ
มากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย
ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือ
เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน
ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม

'พี่หนอม มีไรหรอคะ'

'ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ
พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย'
 
พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
 
'ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ'
 
แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
 
'เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย
พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว 
ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ'

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ
ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่าแม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
 
'อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา
แต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ' 

ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายา
แก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
 
'ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ'

แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

'ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ'

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

'แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง...' 

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็ก
คนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า
 
'ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้า
แทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้อง
กินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย' 

แม! ่เสริมพร ้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้ม
พร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

'ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ' 

แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า

'ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขาย
อยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนม
แกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง'

'แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่'

ฉันถามต่อ  แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า
&n bsp;
'แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก
จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาท
ทุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มี
ความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น'

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า
 
'แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า'
 
'ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร

'แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือน
บ้านป้าหนอมเขานะแม่'

'ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคน
ที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ
แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก'

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

'จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคน
อื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะ
รักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้' 

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า

'ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้ง
คนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ' 

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้
ี้อีกเลยจนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีก
ครั้งทั! ้งน้ำตา< /U> ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ


หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏ
แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก 
ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง
หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน
แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้อง
ยอมตามใจแม่ 

ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจาก
ปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่ม
เป็นนานขึ้น! เรื่อยๆ< /B> ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่
ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนัก
มากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ
จะได้หายเร็วๆ
 
หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป
ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน
แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว
ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย

ฉันกังวลใจมากพอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจ
ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่า
โรงพยาบาลต่างจังหวัด

 หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที
ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า
มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับ
เส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรง
ถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่า
โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอก
ในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
 
ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง
หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว
แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจ
อยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอ
ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้

หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัด
จะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมอง
ค่อนข้างสูง  เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท
 
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไ! งฉันก็ต้ องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

 หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัด
ประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาล
บอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้

 ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่า
เป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
 
ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า
คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ

ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัว
ไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ
ผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่

โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
 
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น

เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน


  
เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
 
     ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร  ภู่จันทร์ 
 ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
        ค่าผ่าตัด                         0 บาท
        ค่ายาทั้งหมด                  0 บาท
        ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ       0 บาท
        รวมเป็นเงินทั้งหมด        0 บาท
 ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง
 ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
 
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร



วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

เรื่องราวจากเขาชนไก่

เมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมาผมได้ไปฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่มาฮะ


ถือว่ามันเป็นการเดินทางอันยาวนานมากๆ


เพราะว่าการเดินทางจากเชียงใหม่ไปกาญ.มันต้องนั่งรถไฟไป!


นั่งนานมากนานจนก้นชาเลย


จริงนะครับไม่ได้โม้


พอไปถึงนั่งประมาณ 6โมงเช้า ครูฝึกก็มาพาขึ้นรถสีส้มไป


นั่งรถอีกนานเลย(ประมาณ3ชั่วโมงกว่า)


ภาคกลางนี่ร้อนจริงๆ ร้อนเว้ย!


พอไปถึง ทำพิธัเปิดท่ามกลางบรรยากาศที่ดี(?) สาย(ที่ชวนเป็น)ลมและแสงแดด(ที่แผดเผา)


เหอๆๆร้อนจริงวุ้ย


จากนั้นเค้าก็ให้กินข้าว แล้วก็พาไปโดหอ ว้าว!ชวนข้าวทะลักออกปากจริงๆ


แต่ก็สนุกดี เค้าให้ไต่เชือกข้ามน้ำอีกอัน เสร็จก็มืดพอดี


กินข้าว อาบน้ำ(ได้ด้วยล่ะ)


วันต่อมาเค้าพาไปยิงปืนฉับพลัน รู้จักไหม


ก็ยิงยังไงก็ได้ให้ท่าสวยและโค ต ร เร็ว ไม่ต้องเล็ง



เหอๆๆผลก็ไม่โดนซักนัด



แล้วก็ไปเรียนการวิทยุ+ลาดตระเวน



ตอนบ่ายให้ไปโรยตัวกับไต่หน้าผาจำลอง(เลือกทำ)



แต่ผมไม่ได้ทำหรอก เวลาไม่พอ คนมันเยอะมากต้องเวียนฐานกันทำ



ฐานที่ไปเวียนก็มีลาดตระเวนกับโจมตีแบบโฉบฉวย(ไม่ใช่ฉาบฉวยนะฮะ)



หมวดผมโดนสาธิตตลอด (แหงเด่ะหมวด 1 นี่หว่า)



พอเริ่มมืดไปเรียนวิชาดูดาวก่อนเดินลาดตระเวนกลางคืนรอบเขาชนไก่




ไกลโคตรๆๆๆๆ ได้ไปไหว้ศาลเจ้าปู่เขาชนไก่ด้วยนะ



ครูเค้าเล่าให้ฟังว่าเจ้าปู่น่ะก็คือ ขุนแผนนั่นแหละ



เคยมาตีไก่บนเขานี่ เลยเรียกเขาชนไก่ ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน



แต่น่าจะจริงนะ พอเดิเสร็จอาบน้ำนอนโลด เมื่อยขา!



พออีกวันเค้าให้ไปเรียนพยาบาลทั้งวันเลย



ให้ขึ้นไปซุ่มโจมตีบนเขาล้วจำลองสถานะการณ์บาดเจ็บด้วยนะ



แต่กองร้อยผม ไม่ได้ทำ อิอิ เวลาไม่พออีกแล้ว เหอๆๆ



จากนั้นเป็นการออกกำลังกายยามเย็นโดยการเดินขึ้นเขาชนไก่



ระยะทางนิดเดียว 2km กว่าๆ แต่ว่ามันชันมากกกกกกกก




ความชันยังไงก็ > 30 องศาน่ะ ยกขาแทบไม่ขึ้น แต่ขึ้นไปถึงแล้วหายเลย





วิวมันสวยมาก ได้ไหว้พระ+ถ่ายรูปกับผู้พันด้วย




วันต่อมาก็ทำการลากขาไปรบพิเศษครับ




วันนี้เข้าป่าทั้งวันให้ทำข้าวเย็นกินเอง มีของสดให้(ที่ดูยังไงก็ต้องทำต้มยำแหงๆ)



หมูผมหุงข้าวสวยมาก เพราะผมหุง 555+



แต่กินไม่ทัน(อีกแล้ว)เพราะดังไฟติดช้า



ตอนกลางวันเค้าให้ไปซุ่มโจมตี ซุ่มอยู่นานมากกก




จนเพื่อนผมมันหลับไป ขนาดแดดเปรี้ยงเลยนะ




วันนี้หนักที่เดินไกลกะเพื่อนผมมันไม่สบาย สงสารมัน



มันไม่ยอมพักด้วยนะ พอดีเป็นพวกหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่ยอมให้ใครว่ามันสำออย



เหอๆๆพอถึงที่เท่านั้นแหละหมดแรงเลย



วัยสุดท้ายปลูกฝังอุดมการณ์



และร้องคาราโอเกะ เหอๆๆไม่น่าเชื่อมีงี้ด้วยแฮะ



จากการไปฝึกคราวนี้สิ่งที่ผมได้เห็นคือ ครูฝึกผู้หญิง




น่ารักมากกก เหอๆๆ แต่ครูแกก็เข้มเหมือนกันนะ




ประสบการณืคราวนี้มีเยอะมากเลยล่ะ



เหลืออีกหนึ่งปีกับการก้าวสู่ "ว่าที่ร้อยตรี"



(ถึงเค้าจะมีสอบร้อยตำรวจหญิงจริงๆแล้วเราก็ไม่อยากสอบอยู่ดีง่า)



ขากลับจากเขาชนไก่นั่งรถไฟอีกแล้ว ไม่ได้หลับเลยอ่ะ



เพราะเพื่อนมีเมาแล้วมาขอซบไหล่ สองข้างเลยอ่ะ




ก็เลยนอนไม่ค่อยหลับ(ความจริงต้องเรียกนั่งไม่ค่อยหลับมากกว่า)



กลับมาแล้วก็ถึงเวลาเดินสายตามทางเก่าต่อไป




สู้ๆโว้ย!จะสอบอีกแล้ว TT

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

อ่านแล้วรู้สึกยังไง?

เรื่องนี้ผมได้มาจากforward mailของผมฮะ ลองอ่านดูนะครับ




ปี 2553 จุดจบประเทศไทย ...... ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรที่จะได้รู้ .....



ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มีเกิด มีดับตลอดเวลา ..... ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกันสืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโคซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่าประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14 ประเทศ ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็นแต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง ! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์ และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะ และอีกหลายประเทศ




ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ แน่นอน ! ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์ การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาลในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกันและสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออกเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทางเป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากินคนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากินคนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน เป็นวงจรอย่างนี้ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้ เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่าเพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๋ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้า พันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้ วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย รัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว




ไฟฟ้าก็แพงขึ้น น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เขาสามารถตั้งราคา ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่า เขาจะไม่มีกำไร ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้
ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้ การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้วเกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้ เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู ่ในมือของ Big C, Lotus,Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯดังนั้น เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด ... เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ ... รัฐจะอยู่ได้ฤา ?




4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทยเนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทยการเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรง จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทยซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน
จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี ตราด ระยอง ฉะเชิงเทรา จะขอแยกตัวตามมาเนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้วเนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยากนั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่ เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ?



ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้นไม่น่าเชื่อเลยว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิ ไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศในการวิเคราะห์บ่อยครั้งที่นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคมไปพร้อมกัน รวมทั้งประวัติศาสตร์เขามอง อาเจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ ก่อนล่มจริง ... เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ




ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทยแทนที่ไปเดิน big-c, lotus, careflour, เพราะผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่าเราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไรเพราะเราไป คาร์ฟูเงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย 14 บาท เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ บิกซี โลตัสเหมือนกันนิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดังผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้นเพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี่ เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ
ถ้าซื้อจากห้าง 1,000 บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900 บาท ที่เหลือ 100 บาทที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียวห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศคนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไรทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลงเลิกกิน kfc และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนครั้ง ต่อปีน้อยสุด




ผมอธิบาย วิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน และลูกฟัง หัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับได้ผล.. ลูกเปลี่ยนวิธีกิน ... วิธีคิดไปเลย ... เปลี่ยนไปได้มาก พอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้างผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย




ผมก็อธิบายคำว่า license ( ค่าลิขสิทธิ ) ให้ลูกฟังผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธ ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิมันเป็นวัสดุธรรมชาติย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือนขนมต่างชาติ ห่อสวย แพง เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ
เวลามันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปีผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย ผมทำได้และได้ทำแล้ว




ปล . ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมากครับยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่าน เพื่อที่ไทยเราจะได้อยู่รวมเป็นชาติไทยต่อไป*
เมื่อกี้ดูที่นี่ประเทศไทย เปิดเพลงชาติให้ฟัง ไม่เคยฟังแล้วรู้สึกว่าอยากร้องไห้ เท่าวันนี้เลย ฟังแล้วเห็นภาพที่คนไทยทั้งประเทศ ช่วยกันช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้




>>>>อยากจะขออีกอย่างหนึ่งคือรักชาติหน่อย ช่วยกันหน่อยครับ ซื้อสินค้าไทย เลิกได้แล้วกับการซื้อของ แบรนเนม มันจะทำให้ชาติล่มจม